31 March 2007

Inside-out & Outside-in (2)

สัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นสัปดาห์แห่งการสอบวิทยานิพนธ์ (ระดับ ป.โท) ปริญญานิพนธ์ (ระดับ ป.ตรี) เป็นสัปดาห์ที่วุ่นวายมากๆสัปดาห์หนึ่งในรอบปีของคนที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย

ในใจอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ (หรือปริญญานิพนธ์) ที่มีลูกศิษย์กำลังจะต้องสอบนั้น จะมีอาการเครียดขึ้นมาทันทีในระยะนี้ เนื่องจากในการสอบวิทยานิพนธ์จะมีกรรมการซึ่งเป็นอาจารย์ท่านอื่น ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ภายใน หรืออาจารย์พิเศษจากภายนอก ความเครียดที่ว่ามาเกิดจากอาการกลัวว่าลูกศิษย์เราจะไม่สามารถนำเสนอวิทยานิพนธ์ได้ดี ไม่สามารถอธิบายให้กับกรรมการท่านอื่นให้เข้าใจได้ ไม่สามารถตอบคำถามที่กรรมการถามได้ และสุดท้ายคือ "ไม่สามารถจะสอบผ่านได้ !" ซึ่งนั้นก็หมายถึงว่าเป็นความผิดส่วนหนึ่งของอาจารย์ที่ปรึกษาด้วย ด้วยข้อหา "ทำยังไงให้ลูกศิษย์ทำงานได้แย่ขนาดนี้" หรือข้อหา "งานแย่ขนาดนี้ปล่อยให้ขึ้นเวทีมาสอบได้อย่างไร"

แม้ว่าตัวเองยังไม่เคยเจอข้อหาพวกนี้ แต่ก็ยังอดหวั่นใจไม่ได้ว่าอาจจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ จึงมีโอกาสได้นั่งคิด วิเคราะห์ พิจารณา ว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เหตุการณ์พวกนี้เกิดขึ้น (ง่ายๆ)

ในลูกศิษย์วิทยานิพนธ์ (ป.โท) ที่อยู่ในการดูแล จะมีอยู่ 2 พวกคือ


  1. พวกที่จบ ป.ตรี แล้วเรียนต่อ ป.โทเลย ยังไม่เคยทำงานหรือทำงานมาน้อยกว่า 2 ปี

  2. พวกที่ทำงานมาแล้วโดยเฉพาะที่ทำงานมามากกว่า 2 ปี บางคนมี่ประสบการณ์มามากกว่า 20 ปี

พวกแรกจะเป็นกลุ่มที่ไฟแรง บอกให้ทำอะไรก็ทำตามทุกอย่าง ในเรื่องทฤษฎี เรื่องการคำนวณ เรื่องการหาข้อมูล พวกนี้ทำได้เร็ว มาหาอาจารย์ได้ตลอดเวลา

พวกหลักเป็นพวกที่มีสัมภาระเยอะ (ภาระส่วนตัว) ไม่สามารถทุ่มเวลาให้กับการทำงานวิทยานิพนธ์ได้เต็มที่ หาเวลามาเจออาจารย์ไม่ค่อยได้

ในช่วงแรกๆที่เริ่มดูแลวิทยานิพนธ์ใหม่ รู้สึกว่าอึดอัดกับกลุ่มที่มีประสบการณ์และกำลังทำงานอยู่ เนื่องจากกลุ่มนี้นอกจากจะไม่มีเวลาแล้ว ยังมักจะเข้าใจทฤษฎี หลักการได้ยาก แม้ว่าลูกศิษย์กลุ่มนี้จะมีโจทย์ปัญหาที่จะมาใช้เป็นหัวข้อวิทยานิพนธ์ โดยไม่ยากนัก (การหาหัวข้อวิทยานิพนธ์เป็นสิ่งที่ยากลำบากที่สุดสิ่งหนึ่งในกระบวนการ) แต่พอเข้าถึงจุดที่จะต้องหาทฤษฎี หรือจับเอาหลักการใดหลักการหนึ่งมาเป็น กรอบการวิจัย (research framework) แล้วล่ะก็ พวกนี้เขาจะไปต่อไม่เป็น หรือไปได้ลำบาก และมักจะพยายามเบนหัวเข็มทิศไปหาทิศทางที่ง่ายต่อการทำวิจัยที่สุด แต่ทิศทางที่ว่ามักจะเป็นทิศที่ไม่ใคร่จะถูกเท่าไหร่

ในขณะที่กลุ่มพวกที่จบใหม่มักจะหาหัวข้อวิทยานิพนธ์ยาก เนื่องจากยังไม่รู้จักโจทย์ปัญหาในการทำงาน ไม่สามารถเชื่อมโยงทฤษฎีกับปฏิบัติได้ จึงมีปัญหาอีกอย่างที่ไม่เหมือนกัน แต่พวกนี้หากว่าได้หัวข้อที่ชัดเจนแล้วจะไปได้เร็วมาก เรียกวได้ว่าแทบจะพุ่งเป็นจรวดเลยทีเดียว บางกรณีกลับมาหาอีกทีบอกว่าเก็บผลการวิจัยมาเรียบร้อยแล้ว โอ้โห อะไรจะรวดเร็วขนาดนั้น นี่ก็เป็นปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่ต้องแก้ไข

(ต่อตอนหน้า)

No comments: